ประเดิมวันที่ 2 ด้วยการเที่ยวในโตเกียวก่อน
ข้อดีอย่างนึงของการมาญี่ปุ่นครั้งนี้ น้องเกรซได้นิสัยชอบกินไข่ต้มกลับมาเมืองไทย ตอนเช้าก่อนไปรร.จะต้องกินไข่ต้มทุกวัน จิ้มเกลือ (แบบคนญี่ปุ่นบ้าง) เหยาะซีอิ้ว เหยาะแม็กกี้ บ้าง และป่าป๊าก็ขยันไปหาสูตรที่จะต้มแล้วให้ไข่มันเป็นยางมะตูมเหมือนของญี่ปุ่นมาให้หนูด้วย อร่อยๆ
บอกแล้วว่าทริปนี้ แม่มีหน้าที่ตามป่าป๊าอย่างเดียว
ถึงสถานีรถไฟ ป่าป๊าส่องๆ แผนที่ กดๆ ตู้ซื้อตั๋วที่จะพาเราไปซานริโอ้กัน
ด้วยความที่เราให้หนูนั่งรถเข็น เพราะเที่ยวญี่ปุ่นต้องเดินเยอะมาก บางทีแค่เดินในสถานีรถไฟก็เดินแทบเมื่อยแล้ว ดังนั้นเวลาที่เราจะไปขึ้นรถไฟก็ต้องอาศัยการใช้ลิฟต์ขึ้นลงแทนการใช้บันไดเลื่อน (สถานีรถไฟที่ญี่ปุ่นมีหลายชั้นมากๆ)
Pocket Wifi เป็นอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับทริปนี้ ทำให้บ้านเราไม่พลาดทุกการสื่อสารทั้งติดต่อเรื่องงานที่เมืองไทย (ก็เราไปตั้ง 10 วันนี่เนอะ) โพสต์รูปสนุกๆ ของเราขึ้นเฟส VDO Call หายายและก๋ง รวมถึง search หาที่กิน ที่เที่ยว เส้นทางการเดินทางผ่านมือถือของแม่และป่าป๊า เพราะ Pocket wifi 1 เครื่องใช้งานกับโทรศัพท์หรือไอแพดได้พร้อมกันตั้ง 4 เครื่องแหนะ แต่ที่บ้านเราพลาดก็คือ ดันไม่ได้พก Power bank มาด้วย พอช่วงเย็นๆ แบต Pocket wifi ก็จะหมดต้องรอกลับไปชาร์ตที่รร.
น้องเกรซอาจจะยัง jet lack อยู่ พอขึ้นรถไฟปุ๊บ ไม่นานก็หลับในรถเข็นปั๊บ *** เที่ยวญี่ปุ่นรถเข็นเด็กสำคัญมากๆ ช่วยทุ่นแรงป่าป๊าและแม่ได้เยอะ แถมหนูก็ชอบได้นอนสบาย ไม่ต้องคอยอุ้มกระเตงกันไปมา ***
ลงรถไฟเดินไปซานริโอ้ น้องเกรซถูกปลุกขึ้นมา แต่ท่าทางหนูจะยังนอนไม่พอ ตื่นมาเลยไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก ต้องใช้เวลาปรับตัวกันพักนึง
ถึงทางเข้าแล้วค่า
ที่ซานริโอ้แชะรูปมาไม่เยอะ
(ค่าเข้า Sanrio Puroland ผู้ใหญ่ 2 คนๆ ละ 4,100 + Child 3,100 = 11,300 เยน)
ที่แรกที่แวะเลยคือ บ้านคิตตี้ เค้าจะจำกัดจำนวนคนเข้าไปในแต่ละรอบเพื่อไม่ให้แออัดด้านในจนเกินไป เข้าไปด้านในจนท.ก็จะบรรยายเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ ซึ่งเราฟังไม่รู้เรื่อง 555 เข้าไปจะเจอห้องโถงก่อน มีเปียโนของคิตตี้และมีโซฟาให้นั่งถ่ายรูป
จากนั้นจนท.ก็จะเปิดประตูพาเราเข้าไปห้องถัดไป แม่ชอบกระจกบานนี้ พอเด็กๆ ไปยืนส่องเค้าจะมีบอกให้เราทำท่าตามและก็จะมีชุดสวยๆ มาให้เด็กๆ ใส่ในกระจก น่าสนุกดี แม่ชวนหนูเล่น หนูยังไม่ยอมเล่นเพราะว่ายังง่วงนอนอยู่
ห้องนี้มีทั้งมุมแต่งตัวของคิตตี้ มีเตียง มีมุมจิบน้ำชา มีอ่างอาบน้ำ
แชะรูปกับเลดี้คิตตี้
ออกจากบ้านคิตตี้ เราแวะซื้อของฝากกันนิดหน่อยและน้องเกรซขอไปนั่งรถไฟเข้าไปในบ้านมายเมโลดี้ต่อ ด้านในเค้าจะมีจุดที่ติดกล้องแชะภาพคนที่นั่งรถไฟเข้าไปเป็นระยะๆ พอออกมาเราสามารถมาเลือกดูรูปและซื้อกลับบ้านได้
จากนั้นเราก็ไปต่อเที่ยวเพื่อนั่งเรือเข้าบ้านชินเนม่อนต่อ บ้านนี้แถวค่อนข้างยาวทีเดียว แต่แม่ว่าสนุกที่สุดละ อย่างอื่นมันเป็นหญิงม๊ากกมากก บ้านชินเนม่อนมีนั่งเรือขึ้นและล่องลงมาด้วย (แบบเตี้ยๆ ไม่สูงมาก) และใช้เวลาเล่นเครื่องเล่นอันนี้นานกว่าเข้าบ้านอื่นๆ
คอนเซ็ปต์ของเครื่องเล่นนี้คือ ชินเนม่อนเค้าจะจัดงานปาร์ตี้ ก่อนทางเข้าจะมีติดจม.ซึ่งทำคล้ายๆ กรอบรูปติดผนังไว้ว่าเค้าเชิญเพื่อนคนไหนมางานบ้าง พอนั่งเรือเข้าไปด้านในจะเห็นเค้าทำขนมชินเนม่อนโรลกัน มีกลิ่นด้วย หอมเชียวละ
ออกจากบ้านชินเนม่อนมาเห็นคนญีปุ่นนั่งจองที่เตรียมดูพาเหรอกันตรึม เราเลือกทำเลชั้น 2 จะได้เห็นชัดๆ พอดีเค้ามีงานครบรอบ 40 ปี ก็เลยมีจัดพาเหรด ตัวการ์ตูนต่างๆ ออกมาเต้นให้เด็กๆ ดูด้วย โชคดีจังแฮะ
ดูพาเหรดจบ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ช้อปปิ้ง ซื้อของในกิฟต์ช้อปค่า ของน่ารักๆ เต็มไปหมด น้องเกรซได้ของมานิดหน่อย มีผ้าเช็ดหน้าคิตตี้ ที่คาดผมชินเนม่อนและน้ำแอปเปิ้ล
ก่อนออกจากซานริโอ้ เจอคนญี่ปุ่นขอลายเซ็นต์ตัวมาสคอตด้วยแฮะ น่ารักดีจัง
ออกจากซานริโอ้เราแวะเข้าร้านขายยาซื้อของฝาก เครื่องสำอางค์ต่างๆ และหาอะไรกินกันตรงสถานีรถไฟนั่นแหละเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเพราะว่าโปรแกรมวันนี้เราจะไปต่อกันที่วัดอาซะสุกะ
กว่าจะนั่งรถไฟมาถึงวัดก็เริ่มมืดละ (เพราะตื่นสายทำให้โปรแกรมดีเลย์หมดนั่นเอง) เราปิดท้ายสิ้นวันด้วยการเดินช
พวกเราเลยได้หาขนมอร่อยๆ ลองและซื้อของฝากกันแทน มาตามล่าหาร่มพับได้กันที่นี่ เพราะที่ญี่ปุ่นได้ชื่อว่า ร่มเค้าคันเล็ก นน.เบา ตรงหัวร่มเป็นลายการ์ตูนน่ารัก ที่สำคัญกันรังสียูวี น้องเกรซได้เลือกไปฝากเพื่อนๆ หลายคนเลย
ป้าน้อยเพื่อนแม่บอกว่า มาวัดนี้ อย่าลืมลองชิม ซาลาเปาญี่ปุ่น เราเห็นร้านนี้คนญี่ปุ่นซื้อกันเยอะมากๆ เลยลองกะเค้าบ้าง อิ อิ
No comments:
Post a Comment