เดือนนี้เป็นอะไรที่มัมมี้กับป่าป๊าเครียดกันอยู่พักใหญ่เพราะเป็นการตัดสินใจให้หนูเปลี่ยน รร. หลังจากที่ไปเรียนที่เก่ามาได้ 2 เดือน ก็ยังร้องไห้ตอนเช้า งอแง ไม่อยากใส่ชุดนักเรียนไม่อยากไป รร อยู่ ทีแรกมัมมี้คิดว่าเป็นช่วงปรับตัวของหนู แต่...พอเจอเหตุการณ์หลายๆ อย่างเข้า และล่าสุดเหตุการณ์ที่เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่มาช่วยยืนยันว่าเราตัดสินใจถูกมากๆ แล้วที่ให้หนูย้าย รร. เพราะเราไปสมัครเรียนที่ใหม่ให้หนูแล้วถึงได้มา find out สิ่งที่เกิดขึ้นที่คนเป็นพ่อแม่ไม่สามารถรับได้ตอนเย็น
รร.เก่า
1. เราไม่สามารถเชื่อถือคำพูดของครูได้เลย เวลาที่ถามอะไรเกี่ยวกับตัวหนูตอนอยู่ที่ รร. ไป เพราะมันดูขัดแย้งกันไปหมด กับคำพูดของเค้าและสิ่งที่เราเห็นจากหนู... เช่น ถามว่าน้องนอนกลางวันมั๊ยคะ.... นอนคะคุณแม่ นอนครบชั่วโมง แต่พอเราไปรับหนูกลับบ้าน ขึ้นรถปุ๊บหนูก็ทำท่าจะหลับ บางวันก็หลับไปเลยก็มี.... แบบนี้นะเหรอบอกว่า ลูกแม่ นอนกลางวันครบชั่วโมง สภาพหนูช่วงนั้นโทรมมาก กลับมาบ้านตอนบ่ายต้องนอนเกือบทุกวัน
2. น้องเกรซมีบ่น คันจุ๋มจิ๋ม และบางวันกลับบ้านเราก็ได้กลิ่นเหม็นฉี่ติดมากับชุด นร. หนู พอไปถามที่รร. เค้าก็ตอบเราว่า อาบน้ำให้น้องทุกวัน ล้างก้นให้ทุกครั้ง แต่...หนูบ่นคัน มัมมี้ได้คุยกับแม่น้องแพนเค้ก เพื่อนของหนู เค้าก็บอกว่า แพนเค้กก็เคยบ่นคันเหมือนกัน
3. ภาพที่เห็นเวลาไปรับ-ส่ง หนูที่ รร. จะมีครูบางคน (ซึ่งที่นี่ ครูคนไทย ก็คือ ครูผู้ช่วย ไม่ได้จบครูจริงๆ คุณครูหลักจะเป็นฝรั่ง ซึ่งเค้าน่ารักมากๆ) ชอบตะโกนห้ามเด็ก ตะคอกเด็ก มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นใน รร.อนุบาล
4. อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวของมัมมี้และป่าป๊า เรารู้สึกว่าบุคลากรที่นี่ ไม่มี sense ของความเป็นครู หรือรักเด็กจากใจจริงเลย ทุกอย่างเป็น commercial หมด ตั้งแต่ห้องธุรการตอนที่ไปสมัครเรียนให้หนู ครูผู้ช่วยคนไทยที่ดูแลเด็กๆ ในห้อง
5. สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ รร. อนุบาลที่เก็บค่าเรียนเดือนละ 10,000 บาท ควรจะใส่ใจก็ไม่ทำ เช่น หน้าห้องเรียน ไม่มีถังขยะซักใบ เวลาเลิกเรียนผู้ปกครองส่วนใหญ่จะให้เด็กๆ วิ่งเล่นต่อหน้าห้อง ตรงมุมของเล่น เด็กๆ กินขนมกินอะไรกัน ก็ไม่มีถังขยะให้ทิ้ง พัดลมไอน้ำก็ไม่เปิดให้ ซึ่งเป็นหลายครั้งมากๆ พอมัมมี้ไปแจ้งครูใหญ่ที่ห้องธุรการ คำตอบที่ได้รับสวนกลับมาทันที ก็คือ เปิดนะคะ เราเปิดทุกวัน ไม่มีการสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น หรือเดินไปดูให้เห็นกับตา แต่ก็ยังโอเคระดับนึง เพราะหลังจากนั้น พัดลมไอน้ำก็ถูกเปิดตลอด
6. วันสุดท้ายของการเรียนที่นี่ มัมมี้ไปแจ้งครูว่าขอเอาขวดนมหนูกลับบ้าน เพราะตอนเริ่มแรกเข้าเรียน ครูติ๋มเป็นคนบอกแม่เองว่า ให้ทิ้งขวดนมน้องไว้ที่ รร ได้เลย ทาง รร จะล้างให้ ดูแลให้เอง แต่...พอเย็นวันนั้นไปรับขวดนมกลับบ้าน สภาพที่เห็นคือ ขวดนมของหนูเน่ามากๆ มีคราบนมสีน้ำตาลติดอยู่ในขวด คนที่มีลูก ใครๆ ดูปุ๊บก็รู้ปั๊บว่า ไม่ได้ล้างขวดมามากกว่า 1 วันแน่ๆ แล้วเค้าเอาขวดแบบนี้มาชงนมให้ลูกแม่กินได้ยังไง พอมัมมี้เอาขวดนมกลับมาบ้าน ป่าป๊าเห็นแล้วโกรธมาก เอาขวดนมกลับเข้าไปคุยกับครูใหญ่ วันนั้นเป็นวันศุกร์ ครูกุ้งขอโทษและมีการเรียกประชุมครูที่ดูแลหนูด่วน ทาง รร. แจ้งว่าไม่มีนโยบายให้ทิ้งขวดนมเด็กไว้ที่ รร ผู้ปกครองต้องเอากลับบ้านทุกวัน แต่ข้อมูลที่เราได้รับมาตั้งแต่ต้นคือ ครูติ๋มบอกว่าให้ทิ้งไว้ได้ ทาง รร คืนเงินค่าเรียนเดือนสุดท้ายของหนูให้เราเต็มจำนวน และทำโทษครูไก่ คนที่ดูแลขวดนมหนูให้ย้ายไปดูเด็กอนุบาลที่โตหน่อยแทนการดูแลเด็กห้อง nursery รวมถึงตัดเงินเดือนด้วย สิ่งที่เราไม่เข้าใจคือ ครูไก่คนนี้ก็มีลูกเล็ก แล้วเค้ามาทำแบบนี้กับหนูได้ยังไง ทำไมถึงใจร้ายได้แบบนี้
สิ่งที่เราค้นพบอีกอย่างวันที่ไปรับของใช้ส่วนตัวหนูกลับบ้าน คือ ผ้าเช็ดตัวหนูหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วที่ผ่านมาที่บอกว่าอาบน้ำให้หนูทุกวันมันคืออะไร ถ้าไม่ใช่ การโกหก หลอกลวง
**************************
โรงเรียนตันตรารักษ์มัมมี้รู้สึกเสียใจที่เป็นคนผลักดันอยากให้หนูเรียน รร 2 ภาษา อ่านรีวิวมาเค้าว่าที่นี่ดี ทำให้หนูต้องทนทรมาน ไม่มีความสุขอยู่ตั้ง 2 เดือน ดังนั้นการหา รร ใหม่ให้หนู เราจึงต้องดูให้ดีๆ ระวังให้มากๆ ไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำร้อย ไม่อยากให้หนูต้องย้าย รร บ่อยๆ เหมือน ปลาที่ต้องเปลี่ยนน้ำบ่อยๆ ก็จะบอกช้ำ
รร ใหม่ที่เราให้หนูย้ายไป คือ โรงเรียนตันตรารักษ์ อยู่ไกลบ้านมากขึ้นกว่าเดิม รร นี้ไม่ได้มีใครแนะนำ แต่ป่าป๊าเคยขับรถผ่านแล้วเห็น รร มีต้นไม้ใหญ่ดูร่มรื่นดี เราเข้าไปคุยกับครูต้อม ซึ่งเป็นครูใหญ่ คุยกับครูนี ซึ่งเป็นหัวหน้าครู เข้าไปดูสภาพเด็กๆ ที่ รร แล้วประทับใจ ว่า เด็กๆ ที่นี่ทุกคนดูร่าเริง มีความสุข ยิ้มแย้ม เล่นสนุกสนาน สภาพเด็กต่างจากที่ Phoenix คนละเรื่อง
ถึงแม้ว่า รร นี้จะไม่ใช่ รร 2 ภาษา แต่โดยรวมแล้ว โอเคมากๆ แถมค่าเรียนหนูก็ถูกลงไปตั้งครึ่งนึง ทีแรกมัมมี้กังวลว่า สัดส่วนจำนวนครูกับเด็กของทีนี่ ห้อง อ.เตรียม มีนร.ประมาณ 20 คน มีครูดูแลแค่ 2 คน จะดูแลได้ทั่วถึงเหรอ แต่พอนึกย้อนกลับไปที่ รร.เก่า มีครูดูแลถึง 4-5 คน ยังดูแลหนูได้ห่วยขนาดนี้ ค่าเรียนก็ไม่ใช่ถูกๆ ที่ตันตรารักษ์ถึงแม้ว่าจะมีครูประจำชั้นแค่ 2 คน แต่เค้าจะมีการให้ครูท่านอื่นเข้ามาเสริมมาช่วยตลอดหากครูประจำชั้นทั้ง 2 ท่านงานโหลด ที่สำคัญที่สุดคือ ครูที่นี่มี sense ของความเป็นครูจริงๆ ทุกคนรักเด็ก ทุ่มเทให้เด็ก สิ่งที่เราไปเห็น การปฏิบัติของครูต่อเด็กๆ ทำให้เรารู้สึกได้ ครูแต่ละท่านก็อยู่กันมานาน บางท่านสอนอยู่ที่นี่มาเป็น 20 ปีแล้ว
มัมมี้มี concern อีกเรื่อง คือ รร ตันตรารักษ์ ไม่ใช่ รร 2 ภาษา มัมมี้อยากให้หนูได้ภาษาด้วย แต่ไม่เป็นไรเพราะที่ผ่านมามัมมี้ก็เป็นคนพูดภาษาอังกฤษกับหนูมาตั้งแต่เล็กๆ อยู่แล้ว เราก็แค่พูดให้เยอะขึ้น หวังเพิ่ง รร อย่างเดียวคงไม่รอด แต่ยังไงก็ตาม ที่นี่เค้าก็มีครูฟิลิปปินส์ ชื่อ T.Bell ด้วย T.Bell จะคอยเข้ามาดูแลเด็กๆ ห้อง อ.เตรียมอยู่เรื่อยๆ หากว่างเว้นจากการสอนประจำ
ที่นี่มีให้เด็กๆ ออกกำลังกายในสระว่ายน้ำอาทิตย์ละครั้ง (ไม่เหมือนที่เก่า ผู้ปกครองต้องจ่ายเพิ่ม เด็กๆ ถึงจะได้เล่นน้ำ อะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด)
ปัจจัยสำคัญอีกอย่างคือ ที่นี่เค้าให้เด็กๆ นอนกลางวันกันประมาณ 1.30 - 2 ชม (ซึ่งที่เก่าให้นอนแค่ 1 ชม บางทีเด็กยังไม่ทันหลับก็หมดเวลานอนแล้ว) ที่นี่หากเพื่อนๆ ตื่นกันแล้วเด็กคนไหนยังไม่ตื่นคุณครูก็จะไม่ปลุก ปล่อยให้นอนต่อ
ที่นี่อาบน้ำให้เด็กๆ ทุกวัน มีของว่างให้เด็กกินหลังตื่นนอนก่อนกลับบ้าน (ที่เก่าข้าวกลางวันมื้อเดียว) ผู้ให้บริการทำอาหาร ของว่างให้เด็ก ก็รักเด็กทุกวัน เข้ามาช่วยคุณครูในห้องเวลาเด็กๆ กินของว่างกันเดียว เค้ารู้จักชื่อเด็กๆ กันหมด
ที่สำคัญมากๆ คือ รร ตันตรารักษ์ เป็น รร วิถีพุทธ ปลูกฝังให้เด็กๆ สวดมนต์ นั่งสมาธิ สมาทานศีล 5 ครูต้อมเล่าว่า ครูไปอบรมกรรมฐานกับคุณแม่สิริตั้งแต่สมัยท่านยังมีชีวิตอยู่ ทาง รร ก็จะส่งครูไปเข้าคอร์สอบรมเป็นประจำ มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและสำคัญมากๆ การที่ครูรักเด็ก มีจิตใจดี มีธรรมะหล่อเลี้ยง (ผิดกับที่เก่ายังกับฟ้ากับเหว ที่เก่าครูแค่ทำตามหน้าที่ ซึ่งทำได้ไม่ดีด้วย ไม่ได้มีจิตใจรักเด็กแม้แต่น้อย) Concept โดนใจมัมมี้ เพราะมัมมี้ต้องการฝึกให้หนูมีธรรมะในใจอยู่แล้ว เข้าทางเป๊ะ
ที่นี่เค้าจะเน้นกิจกรรมให้เด็กๆ มีความสุข มีอีคิวที่ดี สามารถดูแลช่วยเหลือตัวเองได้
สรุป...ตันตรารักษ์ เป็น รร ใหม่ของหนูจ้า น้องเกรซใช้เวลาปรับตัวประมาณ 1 อาทิตย์ ย้าย รร ใหม่วันแรก ร้องไห้จนอ๊วกเหมือนเดิม ครูนีใจดีมาก รู้สึกมัมมี้เป็นห่วงหนู กังวล ครูนีบอกว่าให้เอากล้องวีดีโอมาทิ้งไว้ได้ คุณครูจะถ่ายวีดีโอตอนหนูอยู่ที่ รร ให้พ่อแม่ดู สุดยอดไปเล้ย..
ครูประจำชั้นห้อง อ.เตรียม หรือห้องชวนชม มี 2 ท่าน คือ ครูตุ่นและครูเอ๋ ครูตุ่นอยู่ที่นี่มาร่วม 20 ปี ส่วนครูเอ๋ก็อยู่มานานแล้วเหมือนกัน น้องเกรซจะติดครูเอ๋มากกว่าครูตุ่น ชุดที่เห็นนี่เป็นชุดนอนของ รร หลังจากที่เด็กๆ กินข้าวกลางวันแล้ว คุณครูจะอาบน้ำให้และเปลี่ยนชุดนอน พอเลิกเรียนเด็กๆ ก็ใส่ชุดนอนกลับบ้านจ๊ะ อ่อ...ทาง รร จะมีกระเป๋า นร ให้ด้วยนะ
พอมัมมี้กับป่าปี้เค้าวีดีโอหนูที่ครูนีถ่ายให้ดูแล้วก็สบายใจ หนูอาจจะยังไม่ร่วมกิจกรรมเท่าไหร่แต่เป็นเพราะหนูอยู่ในช่วงสังเกตการณ์อยู่ น้องเกรซจะชอบเก็บข้อมูลก่อน
ข้อดีอีกอย่างที่เห็นจาก รร นี้ คือ เด็กๆ ที่อยู่มาก่อนจะคอยดูแล ช่วยเหลือเด็กเข้าใหม่ คุณครูจะสอนว่าให้ช่วยครูดูแลน้อง ดูจากวีดีโอที่ครูนีถ่ายให้ จะเห็น...
น้องฟ้าใส มาช่วยสอนน้องเกรซเต้น (ปัจจุบันนี้ น้องเกรซ 2.11 ปี ชอบร้องเพลงและเต้นมาก)
น้องเอริกา เข้ามานั่งจับมือ หอมมือ ให้กำลังใจน้องเกรซ ช่วงที่น้องเกรซไป รร แรกๆ และยังร้องไห้อยู่
ผ่านไป 1 เดือนกับ รร ใหม่ พัฒนาการต่างๆ ของน้องเกรซที่เห็น คือ
1. น้องเกรซชอบกลับมาร้องเพลงชาติ (รร.เก่ามีตารางเข้าแถวร้องเพลงชาติ แต่ไปเรียนมา 2 เดือน ไม่เห็นทำสักวัน)
2. ช่วยเหลือตัวเองได้หลายอย่าง เช่น ถอดรองเท้า ใส่ถุงเท้า หยิบจานข้าวมานั่งรอ เอาจานข้าวไปเก็บ
3. ชอบ happy กับการไป รร ไม่มีงอแง ไม่อยากไปเหมือนที่เดิม
4. ชอบพูด ชอบเล่าเรื่องที่ รร ให้ที่บ้านฟัง ทั้งคุณครูและเพื่อนๆ (ตอนนี้เพื่อนสนิทในก๊วนน้องเกรซจะมี น้องฟ้าใส เอริกา น้องเอย จัสมิน)
**************************
เที่ยวหัวหิน (อีกแระ)เรื่องของเรื่อง คือ ป่าป๊าออกรถคันใหม่ เราได้ดิวดีจากเพื่อนป่าป๊าที่อยู่ Toyota showroom ที่ราชบุรี เราเลยต้องไปรับรถกันที่นั่น เลยถือโอกาสแวะเที่ยวหัวหินฉลองรถคันใหม่ด้วยเลย ทริปนี้เรานอนกันที่ชะอำ แล้วขับรถเข้าไปเที่ยวหัวหินต่อ
ตื่นเช้ามาหม่ำข้าวเสร็จน้องเกรซก็ขอไปเล่นทรายทันที ชอบมากกกก ทางรร.เค้ามีลานทรายและอุปกรณ์ตักทรายไว้ให้เด็กๆ เล่นด้วย หนูชอบเล่นทรายมาก มากกว่าเล่นน้ำซะอีก กว่าจะยอมเปลี่ยนชุดลงน้ำได้เล่นเอาต้องหลอกล่อกันพักใหญ่
ขึ้นจากสระก็มาเล่นน้ำในอ่างต่อ มัมมี้ทำที่เป่าฟองสบู่ตามพี่เล็กแม่น้องภูมิมาให้หนูเล่นด้วย น้องเกรซติดใจมาก เป่าปู๊ดๆ ซะซี่โครงบาน 555
อาบน้ำแต่งตัวเราก็ไปลุยตลาดน้ำหัวหินและตลาดน้ำสามพันโบกกันต่อ ไปถึงก็โซ้ยก๋ยวเตี๋ยวก่อนเลย มีหนังปลากรอบของโปรดหนูด้วย
กินข้าวเสร็จก็พาเด็กไปดูแกะ ฟ้าเริ่มมืดมาแล้วต้องรีบทำเวลา แต่ว่าแกะเป็นๆ ที่ตลาดน้ำหัวหินนี่ท่าทางจะหิวน่าดู แค่เราถืออาหารเข้าไปใกล้กรูกันเข้ามาแล้ว สุดท้ายต้องให้ป่าป๊าอุ้มหนูให้อาหารแกะแทนเพราะหม่ามี้กลัว
ที่นี่มีป้อนนมปลาด้วยนะ แต่ว่าระดับน้ำอยู่ต่ำเกินไปที่น้องเกรซจะป้อนเองได้ ป่าป๊าเลยต้องเป็นคนป้อนแทน
วันรุ่งขึ้นขากลับ ขอแชะภาพครอบครัวซักหน่อย นานๆ จะมีสักรูปเพราะป่าป๊าไม่ชอบถ่ายรูป แต่แม่ชอบ 555 แต่พักหลังแม่ก็ขี้เกียจถ่ายรูปไปเยอะ เอาเวลามาทำกิจกรรมเล่นกับหนูซะมากกว่า
ระหว่างทางเราแวะกันที่ Santorini Park พาหนูไปนั่งชิงช้าสวรรค์และเล่นน้ำพุ ทีแรกน้องเกรซกลัวเปียกแต่เล่นไปเล่นมาไม่ยอมเลิก วิ่งลุยน้ำซะใจมาก ถ่ายรูปมาไม่เยอะเพราะอากาศร้อนมากๆ
No comments:
Post a Comment