Saturday 26 July 2014

บันทึกจากแม่ ตอนที่2: สมองใสๆ ของหนู

= = เสาร์ที่ 26 กรกฎาคม 2557 = =

เหตุเกิดบนโต๊ะอาหารบ้านคุณย่า น้องเกรซนั่งกินข้าวเย็นอยู่ หลังจากที่เราไปเดิน Night Market กันมา ป่าป๊าเทเส้นหมี่น้ำที่ซื้อมาใส่ชามเสร็จ ขณะที่กำลังจะใส่เครื่องปรุงก็พบว่า ร้านก๋วยเตี๋ยวได้ใส่น้ำตาลและพริกป่นปนกันมาอยู่ในถุงเดียวกัน โดยที่มีพริกป่นอยู่ด้านล่างถุง น้ำตาลอยู่ข้างบน

ป่าป๊าเริ่มบ่นว่าทางร้านประหยัดถุงแบบนี้ กินลำบาก ทุกทีเคยเจอใส่น้ำตาลกับพริกป่นในถุงเดียวกัน เค้าก็จะแบ่งซีกซ้าย ซีกขวา แต่นี่เล่นใส่พริกป่นอยู่ก้นถุง น้ำตาลอยู่ด้านบน ป่าป๊าจะใส่แต่พริกป่นแล้วจะกินยังไงเนี่ย???

แม่เห็นเป็นโอกาสดีให้น้องเกรซลองหัดคิดหาทางแก้ปัญหา  เลยถามหนูว่า

แม่: น้องเกรซ...ป่าป๊าอยากจะกินแต่พริกป่น จะทำยังไงดีละ หนูช่วยป่าป๊าคิดทีได้มั๊ยคะ
น้องเกรซ: ป่าป๊าก็เทน้ำตาลออกก่อนสิ แล้วค่อยใส่พริกป่น
ป่าป๊า: แล้วจะไปเทน้ำตาลใส่ที่ไหนละ
น้องเกรซ: ก็...เทใส่ถุงขยะในครัวไง
 แม่: น้องเกรซเก่งจังเลย ดูสิ รู้จักคิดแก้ปัญหาให้ป่าป๊าด้วยนะเนี่ย


เหตุการณ์ธรรมดาๆ เหมือนจะไม่มีอะไร แต่ก็สามารถนำมาเป็นคำถามให้หนูลองคิดแก้ปัญหา ช่วยป่าป๊าหาทางออกได้นะเนี่ย ฝึกให้หนูรู้จักคิดเอง หนูคิดเองได้ หนูก็ภูมิใจในตัวเอง เห็นมั๊ยละว่า หนูก็มีสมองใสๆ คิดหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆ เองได้ ถ้าแม่ไม่รีบด่วนบอกหนูเหมือนเดิม แต่ปล่อยให้หนูลองคิดเอง ก็เป็นการลับสมองน้อยๆ ให้หนูนะเนี่ย ^ ^

คำว่า "เน้นที่กระบวนการ" "วิชาชีวิตสำคัญกว่าวิชาเรียน" ที่แม่ไปอบรมมายังจำแม่นอยู่ในใจ พอมีเหตุการณ์ต่างๆ มากระทบ มันก็ช่วยให้แม่ฉุกคิดขึ้นมาได้ ไม่ปล่อยให้เป็นเหมือนเมื่อก่อนที่แม่คอยแต่จะตอบทุกคำถามให้หนู คิดทุกอย่างแทนหนู เป็นการทำร้ายหนูโดยที่แม่ไม่รู้ตัว แม่ตั้งใจว่าจะค่อยๆ ทำไป หัดให้หนูมีพื้นฐานวิชาชีวิตที่เข้มแข็งให้ได้จ้า

รักน้องเกรซที่สุดเลย
แม่โอ๋

Tuesday 8 July 2014

บันทึกจากแม่ ตอนที่1: เติมไม่ตัด

 
= = อาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม 2557 = =
 
โปรแกรมวันนี้ของน้องเกรซ คือ ช่วงเช้ามีนัดไปเล่นกับเจ่เจ้ที่บ้านคุณย่า บ่ายโมงถึงบ่ายสามไปเรียนศิลปะและร้องเพลงที่นารีทิพย์ บ่ายสี่โมงมีนัดว่ายน้ำที่หมู่บ้านกับเพื่อนๆ หนู
 
วันนี้น้องเกรซตื่นประมาณ 8 โมงกว่าๆ เราคุยกันว่าจะให้หนูไปกินข้าวเช้าที่บ้านคุณย่าพร้อมเจ่เจ้เลย ด้วยความที่หนูเป็นเด็กทำอะไรช้า โอ้เอ้ กว่าหนูจะลุกจากเตียง กว่าจะแปรงฟัน อาบน้ำ แต่งตัว จะใช้เวลานานมาก (ในความรู้สึกของแม่และป่าป๊า)
 
เช้านี้ก็เหมือนกัน น้องเกรซลุกจากเตียงแล้ว แม่เรียกให้หนูไปแปรงฟัน เสร็จแล้วจะได้อาบน้ำแต่งตัว ไปกินข้าวที่บ้านคุณย่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่ต่างๆ จากวันอื่นๆ แม่เรียกน้องเกรซอยู่ประมาณ 2-3 รอบ แต่สิ่งที่น้องเกรซทำคือ ไม่ได้เดินเข้าห้องน้ำไปแปรงฟัน แต่กลับมายืนง่วนอยู่ตรงโต๊ะเขียนหนังสือของแม่ที่มีสมุดเล่มใหญ่ที่ป่าป๊ายกให้หนูเอาไว้ขีดๆ เขียนๆ เล่นตามใจชอบวางอยู่
 
การที่แม่เรียกหนู 2-3 ครั้งแล้ว หนูก็ยังเฉย ไม่ตอบ ไม่ทำตาม มันช่างยั่วให้แม่หงุดหงิดได้ง่ายมาก ด้วยความที่แม่เป็นแม่ที่หงุดหงิดง่าย ขี้โมโหอยู่แล้ว ณ ตอนนั้น แม่ก็เกือบจะเริ่มหงุดหงิดหนูอยู่แล้วละ เพราะใจแม่มัวแต่ไปกังวลว่า กว่าที่หนูจะทำอะไรเสร็จ เดี๋ยวก็สาย กว่าจะไปถึงบ้านคุณย่า กว่าจะกินข้าวเสร็จ กว่าจะได้เล่นกับพี่ แป๊บเดียวเดี๋ยวก็ต้องไปนารีทิพย์แล้ว เดี๋ยวหนูก็จะงอแงอยากเล่นต่ออีก แม่คิดๆๆๆ มโนไปเองสารพัด ตามประสาคนขี้กังวล
 
แล้วสิ่งที่แม่เพิ่งไปเข้าคอร์สอบรม "ฟังลูกให้ได้ยินด้วยหัวใจ" ก็แว่วเข้ามาในหัวแม่ทันที "เติม แต่ไม่ตัด" ประโยคสั้นๆ ที่สะเทือนใจแม่อย่างมากตอนที่ฟังครูพบพูดถึงเรื่องนี้
 
สิ่งที่แม่กำลังจะทำ ณ ตอนนั้นคือ แม่กำลังจะตัดพัฒนาการ จินตนาการ ความคิด ความเชื่อมั่นใจตัวเองของหนู พอนึกได้แม่จึงหยุดเรียกน้องเกรซ และตั้งสติรอดูว่าหนูกำลังทำอะไรต่อไป
 
ซึ่งพอแม่หยุดแล้ว สิ่งที่เห็นคือ น้องเกรซใช้เวลาไม่นานเลย หนูถือสมุดเล่มใหญ่เล่มนั้นเดินเอามาอวดให้แม่กับป่าป๊าดูด้วยความภาคภูมิใจ สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสุข
 
 
มันอาจจะดูไม่มีอะไรในสายตาคนอื่น แต่มันเป็นสิ่งที่มีค่ามากในสายตาแม่ มันคือ จินตนาการของหนู หนูเขียนเรื่องราว เขียนเบอร์โทรศัพท์แม่ เขียนชื่อตัวเอง เขียนว่าหนูรักแม่ เขียนชื่อป่าป๊า และอีกมากมายในโลกจินตนาการของหนู และที่สำคัญหลังจากที่หนูอวดผลงานของหนูแล้ว หนูก็เดินเข้าห้องน้ำแปรงฟัน อาบน้ำแต่งตัว แบบที่เรียกว่า ง่ายมาก
 
แล้วถ้าแม่ไม่หยุดละ??? ถ้าแม่ยังคงเรียกหนูให้ไปแปรงฟัน อาบน้ำ แต่งตัว ซ้ำๆ หลายรอบ จนแม่เกิดโมโห หงุดหงิด ขึ้นมา อะไรจะเกิดขึ้นตามมา??? มันก็คงไม่ต่างจากเมื่อก่อน ตอนเช้าที่แม่จะต้องปลุกหนูไปโรงเรียน บางวันก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี บางวันแม่ก็หงุดหงิด หนูก็หงุดหงิด บ้านทั้งบ้านร้อน หงุดหงิดกันไปตามๆ กัน
 
ที่ผ่านมา แม่ไม่เคยได้ยินเสียงของหนูจริงๆ เลยสักครั้ง แม่ลืมนึกไปว่า บางวันตัวแม่เองก็ยังขี้เกียจ ยังง่วงอยู่ ยังอยากจะนอนต่ออีกสักหน่อย แต่สิ่งที่แม่คาดหวังจากน้องเกรซคือ เมื่อถึงเวลาตื่นต้องไปรร. แม่เรียกแล้ว หนูต้องลุกทันที!!! ถ้าหนูไม่ทำตาม แม่ก็จะเริ่มหงุดหงิด กลัวจะไปรร.ไม่ทัน แม่ไม่เคยฟังสิ่งที่หนูพยายามจะบอกแม่จริงๆ เลยสักครั้งเดียว แม่นึกถึงแต่ความต้องการของตัวเอง นึกถึงแต่ผลลัพธ์ว่าต้องการให้หนูรีบตื่น อาบน้ำแต่งตัวไปรร. จะได้ไม่ไปรร.สาย นึกแต่ว่าจะ "สอน" หนูยังไง ไม่เคยมองในมุมของเด็ก ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกเด็ก เหมือนที่ครูพบบอกว่า "อย่าคิดที่จะสอน แต่ให้เริ่มที่กระบวนการ" กระบวนการที่จะทำยังไงให้หนูเติบโตขึ้นมา รับผิดชอบตัวเอง ช่วยเหลือตัวเอง คิดเองเป็น รองรับหาวิธีจัดการกับอารมณ์โกรธ เสียใจ ของตัวเองและหาทางออกแก้ปัญหาเองได้เป็น แม่ไม่เคยฝึกสิ่งเหล่านี้ให้หนูเลย
 
แต่การที่แม่หยุด..."ไม่ตัด" สิ่งที่หนูกำลังพยายามทำอยู่ตรงหน้าวันนั้น ก็เป็นการ "เติม" อะไรหลายๆ อย่างให้หนู รวมถึงตัวของแม่เองด้วย แล้วที่ผ่านมา แม่พลาดอะไรไปบ้าง แม่ตัดสิ่งดีๆ แม่ขัดขวางพัฒนาการอะไรของหนูไปมากแค่ไหนแล้ว แค่คิด...มันก็เป็นความรู้สึกที่จุกขึ้นมากลางอก แม่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ผ่านมา แม่ขอโทษหนูนะลูก
 
ถึงเหตุการณ์นี้จะเป็นแค่เหตุการณ์เล็กๆ เหตุการณ์หนึ่งที่แม่สามารถหยุดตัวเอง ปรับปรุงตัวเองขึ้นมาได้ แค่นี้แม่ก็ดีใจมากแล้ว มันเป็นก้าวเล็กๆ ที่จะเริ่มต้นเป็นการแม่คนใหม่ให้หนู เพราะเป้าหมายของแม่ในวันนี้ก็คือ การที่จะเป็นแม่ที่ดีที่สุดสำหรับน้องเกรซ รับฟังน้องเกรซด้วยหัวใจ แม่จะสอนวิชาชีวิตให้หนู เพื่อที่จะให้หนูสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปในอนาคต ให้หนูเอาตัวรอดได้ เมื่อวันที่หนูไม่มีแม่และป่าป๊าคอยอยู่ดูแลหนูแล้ว
 
รักน้องเกรซที่สุดคะ
แม่โอ๋
 


Sunday 6 July 2014

เที่ยวป่าชายเลน เปิดประสบการณ์เรียนรู้นอกห้องเรียน



= = เสาร์ที่ 5 กรกฎาคม 2557 = =

แม่กับป่าป๊ามีธุระที่ระยอง ตื่นเช้ามาเลยคุยกันว่า เอ...ไหนๆ ก็ไประยองแล้ว แถวนั้นมีอะไรให้เที่ยวมั๊ยน๊า ลอง search ข้อมูลใน Internet ดู เห็นเรื่อง "ป่าชายเลน" น่าสนใจดีแฮะ เรายังไม่เคยไปกันเลย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าจะมีสิ่งใหม่ๆ ให้น้องเกรซรวมทั้งแม่กับป่าป๊าได้เรียนรู้เยอะแน่ๆ แค่คิดก็น่าสนุกแล้ว เลยสรุปกันว่าทำธุระเสร็จจะพาหนูไปเที่ยวป่าชายเลนกันวันนี้

ทำธุระเสร็จประมาณ 12.30 น. ป่าป๊าลองเช็คเส้นทางและเวลาในการเดินทางจาก Google map ปรากฎว่า ถ้าไปจะไปป่าชายเลนที่ระยอง มันต้องขับรถไปอีกตั้ง 2 ชม. หนะ ท่าจะไม่ไหว นานเกินไป เลยอธิบายเหตุผลให้น้องเกรซฟังและให้หนูเลือก ระหว่าง จะไปป่าชายเลน กับ ไปซื้อหอยชักตีน มากิน (พอดีตอนตื่นเช้าน้องเกรซบอกอยากกินหอยชักตีนมากเลย) ปรากฎว่า หนูยืนยันที่จะไปป่าชายเลนแฮะ ป่าป๊าเลยลองถามป้ากูเกิ้ลดูใหม่ว่าที่ชลบุรีมีรึเปล่า โชคดีที่มีเหมือนกัน เราไม่เคยรู้มาก่อนเลย แถมยังใช้เวลาขับรถจากระยองไปแค่ประมาณ 1 ชม.เท่านั้น เราเลยเปลี่ยนสถานที่กันนิดหน่อย (โดยไม่บอกให้หนูรู้ 555)

แม่เป็นคนขับ ระหว่างทางก็เปิด Google Map ไปด้วย ก็จะมีเสียงป้ากูเกิ้ลบอกตลอดทางว่าไปทางไหน ยังไง ตอนที่แวะจอดเติมแก๊ส น้องเกรซบอกว่า "ป้ากูเกิ้ลนี่ใจดีนะ หยุดรอเราเติมแก๊สด้วย" 555 ความคิดของเด็กนี่ซื่อตรง น่ารักชะมัดเลย ไหนๆ ก็ขับมาถึงเมืองชล แม่ขอแวะซื้อครกที่อ่างศิลาซะหน่อย เอาไว้ตำน้ำพริกกะปิที่บ้าน อิอิ

กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ขอแวะเติมพลังที่ร้านอยุธยา กุ้งเผา ก่อน เคยเห็นป้ายร้านนี้ที่ศรีราชา ดูน่าอร่อยดี มาชลบุรีก็มีอีก (ถามที่ร้าน เค้าว่าเป็นญาติกัน) เลยต้องขอลองซะหน่อย กุ้งที่ขายมีหลายไซส์เลย เราเลือกมา 1 โลสำหรับเผาและแบ่งทำกับข้าวได้อีก 1 อย่าง เมนูวันนี้เลยมี กุ้งเผา กุ้งอบวุ้นเส้น และพุง ไข่ หัวปลาช่อนต้มยำน้ำใส ไม่ผิดหวังอร่อยทุกอย่าง

 
 
ทางร้านมีน้ำล้างมือมาให้ 1 อ่างใหญ่ ใส่มะนาวและใบชา น้องเกรซไม่เคยเห็นมาก่อน ถามใหญ่ว่าคืออะไร เอาไว้ทำไม ป่าป๊ากับแม่เลยอธิบายให้ฟังว่า เอาไว้ล้างมือ ดับกลิ่นคาวกุ้งที่เราแกะไป ใบชาจะช่วยดูดกลิ่น ทำให้มือเราไม่เหม็น มะนาวก็เอาไว้ขัดล้างคราบมันออกไป สนุกหนูละทีนี้ ล้างใหญ่เลย ล้างเสร็จแม่บอกให้ดมดูสิว่า มือหนูหอมรึเปล่า ^ ^
 


 
 
อิ่มแล้วก็เดินทางต่อ พร้อมตะลุย "ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและอนุรักษ์ป่าชายเลน เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเทศ จ. ชลบุรี" ป่าชายเลนที่นี่มีสะพานทางเดินศึกษาธรรมชาติที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ซึ่งยาวถึง 2,300 เมตร โอ้โห แค่นี้ก็น่าตื่นเต้นแล้ว ทางเข้าจะมีแผนที่เส้นทางเดินให้เราดู เวลาเปิด-ปิดของที่นี่ คือ 8.30 น. - 18.30 น.
 
 
เราไปถึงกันเวลาประมาณ 4.30 น. แดดไม่แรงมาก มีลมเย็นๆ พัดโชยมาเป็นระยะๆ เราใช้เวลาเดินประมาณชั่วโมงกว่าๆ ทางเดินจะเป็นทางแยกซ้าย-ขวา เราจะเดินไปทางไหนก่อนก็ได้เพราะสุดท้ายมันก็จะต้องเดินวนมาบรรจบกันอยู่ดี
 
 
 
 
ตอนเช้าก่อนออกจากบ้านแม่บอกให้น้องเกรซพกกล้องส่องทางไกลของหนูมาด้วย พอมาถึงแม่ให้หนูลองส่องกล้องดูที่ดินเลนซิว่าหนูเห็นอะไรบ้าง ^ ^
 

 
วันนี้ทั้งน้องเกรซ ป่าป๊า และแม่ ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เยอะแยะเลย ตอนนั่งรถกลับบ้านกัน แม่ชวนหนูมาช่วยกันนับ นับไปนับมา ได้เห็น ได้ยิน ได้รู้จักสัตว์ที่นี่ทั้งหมด 7 ตัวเลยน๊า

 
สัตว์ตัวแรกที่เห็นกันคือ "ปลาตีน หรือ ปลาจุมพรวด" มันเดินถอยหลังได้ด้วยอ่า อะเมชซิ่งมากๆ
 


 
 
เดินต่อไปอีกนิด ตัวที่สองที่เห็น คือ "ปูทะล หรือ ปูดำ" ตรงพื้นดินเลนจะมีรูปูและปูเต็มไปหมด แต่พอพวกเราเดินไปใกล้ๆ พวกมันก็จะรีบวิ่งมุดลงรูกันใหญ่
 

ตัวที่สาม คือ "ปูก้ามดาบ" ทีแรกตอนที่เห็นแม่กับป่าป๊าก็ไม่รู้หรอกว่ามันคือปูอะไร เห็นก้ามมันมีสีแดงๆ เดินไปสักพักเค้าจะมีบอร์ดให้ความรู้ อธิบายเรา ทั้งชื่อต้นไม้ที่ขึ้นที่ป่าชายเลน และสัตว์ต่างๆ ที่อาศัยอยู่ที่นี่ สนุกและได้ความรู้เยอะแยะเลย
 
 
ทางเดินช่วงแรกจะร้อนหน่อยเพราะต้นไม้ยังไม่โต แต่พอเดินเข้าไปสักพักก็ไม่ร้อนละ ต้นไม้ขึ้นสูงเต็มไปหมด
 


 
 
 
เดินต่อไปสักพัก สัตว์ตัวที่ 4 ที่เห็นก็คือ "ค้างคาวแม่ไก่" ตอนที่ยังเดินไปไม่ถึงก็ได้ยินเสียงพวกมันร้องดังทีเดียว ทีแรกคิดว่าเสียงนกซะอีก พวกมันเกาะกันอยู่บนต้นไม้เยอะมากๆ
 

 
 
แรกๆ น้องเกรซก็ตื่นเต้น ดูโน่นดูนี่ดีอยู่หรอก แต่ด้วยความที่ระยะทางเดินมันยาวตั้ง 2300 เมตร ช่วงหลังหนูเลยแบตหมด ต้องให้ป่าป๊าอุ้มซะงั้น โชคดีจริงๆ ที่ป่าป๊ามาด้วย ไม่งั้นแม่ตายแน่ๆ เพราะป่าป๊าอุ้มหนูเดินไกลมาก แม่กับป่าป๊ายังคุยกันเล่นๆ เลยว่า มาคราวหน้าเอารถเข็นหนูมาด้วยดีกว่า
 
 
 
 
"งู" เป็นสัตว์ตัวที่ 5 ที่เราเห็นกัน ป่าป๊าเป็นคนเห็นก่อนคนแรก แต่เราไม่รู้ว่ามันคือ งูอะไร เพราะเค้าไม่มีป้ายบอกไว้ ตัวมันเล็กๆ สีน้ำตาลเหมือนดินโคลน ตอนที่เห็น มันกำลังเลื้อยอยู่ในแอ่งน้ำ
 
 
พอเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ สักพักก็ได้ยินเสียงเหมือนน้ำหยด ดัง "เปาะ แปะ เปาะ แปะ" ซึ่งเป็นที่มาของสัตว์ตัวที่ 6 ที่เราได้รู้จักแต่ไม่ได้เห็นตัวมัน เจ้าตัวที่ทำเสียงเหมือนน้ำหยด ก็คือ "กุ้งดีดขัน" ซึ่งเป็นกุ้งขนาดเล็ก ลำตัวใส ขาเดินคู่แรกเป็นก้ามหนีบ ข้างขวามีขนาดใหญ่กว่าข้างซ้าย สามารถดีดทำเสียงดัง ปอก ปอก เมื่อนำกุ้งชนิดนี้ไปใส่ในขัน แล้วใส่ขนไก่หรือก้านไม้เล็กๆ แหย่บริเวณก้ามหนีบ กุ้งจะใช้ก้ามหนีบขบกันทำให้เกิดเสียงดัง ชาวบ้านเลยเรียกว่า กุ้งดีดขัน
 
เดินต่อมาอีกจะเห็นทะเล แต่ไม่มีน้ำเลย เป็นทะเลที่แห้งมาก มีแต่ดินโคลน ตรงนี้จะเป็นแหล่งอนุรักษ์พ่อแม่พันธุ์ "หอยแครง" ซึ่งก็คือสัตว์ตัวที่ 7 ที่เราได้เห็นกัน เห็นแต่ก้นหอยแครงไม่กี่ตัว ป่าป๊าบอกว่ามันน่าจะอยู่ในโคลน


 

เดินมาถึงตรงนี้ แม่เริ่มเมื่อยละ แต่ป่าป๊าคงจะเมื่อยมากกว่าเพราะต้องอุ้มหนูตลอดทาง เลยต้องหลอกล่อให้หนูลงเดินเองบ้างละ แต่หนูก็เดินเองได้แป๊บเดียวและเริ่มขอให้ป่าป๊ากับแม่อุ้มอีก แค่นั้นไม่พอ ท่าจะง่วงจริงๆ แฮะ ดูดนิ้วเฉยเลย
 
 
เดินมาถึงสะพานแขวน มีทางแยกเดินข้ามสะพานแขวนต่อไปกับทางแยกไปอีกทาง เราเลือกที่จะไปอีกทางเพราะดูท่าแล้วน่าจะเป็นทางกลับมากกว่า เดินอยู่ที่นี่ชั่วโมงกว่าๆ เหนือยเอาเรื่องเหมือนกันแฮะ ออกกำลังกายไปในตัวเลยละ



 
แม่เห็นป่าป๊าอุ้มหนูนานแล้วเลยอาสาแบกหนูต่อบ้าง ป่าป๊าจะได้พักสักหน่อย โชคดีที่เดินต่ออีกไม่ไกลมากก็ถึงทางออกพอดี ระหว่างทางเห็นมี "ต้นแสมทะเล" ขึ้นด้วย ออกด้วยเป็นช่อสีเหลืองอมส้ม (ความรู้ใหม่เพิ่งได้จากทริปนี้อีกแล้ว)
 
 
 


 
ก่อนจบทริปวันนี้ป่าป๊าขอแวะลอง "ไอติม 100 ถัง" ตรงสี่แยกคีรี ซะหน่อย ผ่านหลายครั้งไม่มีโอกาสชิมซะที ดูชื่อมันน่าอร่อยดี แต่พอลองชิมจริงๆ กลับงั้นๆ แฮะ ไอติมผสมน้ำเยอะ ละลายเร็วมาก ไอติมหลายรสที่อยากลองก็หมด คงเป็นเพราะเรามาถึงก็ 6 โมงเย็นแล้ว



จบทริปครอบครัวปุ๊บปั๊บทัวร์วันหยุด แบบแฮปปี้ คุ้มค่า น้องเกรซได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้เห็นของจริง ที่ไม่ใช่แค่ในหนังสือเยอะแยะเลย ที่สำคัญแม่กับป่าป๊าก็ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไปพร้อมๆ กับหนูเยอะเลยจ้า แม่กับป่าป๊ารักน้องเกรซที่สุดในโลก